กลุ่มวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจสหกรณ์
.....................................
ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2/2555
เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สอง ขยายตัวร้อยละ 4.2 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 0.40 ในไตรมาสแรก โดยมีปัจจัยสำคัญจากอุปสงค์ในประเทศ ทั้งการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการฟื้นตัวของภาคการผลิต และบริการ ในขณะที่การส่งออกยังหดตัว แต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว
การใช้จ่ายภาคครัวเรือน ขยายตัวร้อยละ 5.3 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 2.9 เป็นผลมาจากกำลังซื้อของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรก มาตรการ ลดค่าครองชีพของรัฐ การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 67.7 เทียบกับ 65.3 ในไตรมาสแรก และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการจ้างงานที่ยังอยู่ในระดับดี
การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 11.8 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 9.2 เป็นผลมาจากการขยายตัวของการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรเพื่อซ่อมแซมและทดแทนความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัย และการก่อสร้างที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขยายตัวของพื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างที่ขยายตัวถึงร้อยละ 22.1 เฉลี่ยครึ่งแรกของปี การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 10.5
ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาสนี้มีจำนวน 4.8 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวน 200,965 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.2 และ 12.0 ตามลำดับ ในขณะที่อัตราการเข้าพักอยู่ที่ระดับร้อยละ 55.3 ปรับตัวสูงขึ้นจากร้อยละ 51.8 ในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะ จากจีน รัสเซีย และญี่ปุ่น ส่งผลให้สาขาโรงแรมภัตตาคารขยายตัวร้อยละ 8.4 รวม 6 เดือนแรก ของปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวน 10.5 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 7.6
ภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 2.7 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่หดตัวร้อยละ 4.3 และเป็นการขยายตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสสี่ของปี 2554 เนื่องจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยสามารถเริ่มการผลิตได้อีกครั้ง โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ระดับร้อยละ 69.2 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 62.6 ในไตรมาสก่อน
ภาคเกษตรกรรม ขยายตัวร้อยละ 1.3 ชะลอตัวจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 3.4 เป็นผลมาจากการขยายตัวของผลผลิตทางการเกษตรในทุกหมวด ยกเว้นอ้อย ในขณะที่ราคาสินค้าเกษตรลดลงต่อเนื่องร้อยละ 11.9 โดยเฉพาะราคายางพารา และมันสำปะหลัง ทำให้รายได้เกษตรกรหดตัว ร้อยละ 9.3 เฉลี่ยครึ่งแรกของปี ภาคเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ 2.5
ภาคการส่งออกสินค้า มีมูลค่าการส่งออกสินค้าหดตัวร้อยละ 0.4 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก ที่หดตัวร้อยละ 4.0 เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ โดยการส่งออกสินค้าเกษตรยังคงหดตัว โดยเฉพาะข้าว และยางพารา
ภาวะเศรษฐกิจของภาคสหกรณ์ไทยไตรมาสที่ 2/2555
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2555 พบว่า สหกรณ์มีจำนวนทั้งสิ้น 10,416 แห่ง ลดลงร้อยละ 3.80 จากไตรมาสแรก แบ่งเป็นสหกรณ์จำนวน 6,440 แห่ง และกลุ่มเกษตรกรจำนวน 3,976 แห่ง ประกอบด้วยสมาชิกทั้งสิ้น 11.65 ล้านคน มีทุนดำเนินงานรวมเท่ากับ 1.77 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.72 จากไตรมาสแรก มูลค่าธุรกิจรวม 2.21 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.18 จากไตรมาสแรก
สหกรณ์ภาคการเกษตร มีมูลค่าธุรกิจรวมเท่ากับ 0.65 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยการให้เงินกู้ จำนวน 0.40 ล้านล้านบาท การรวบรวม/แปรรูปผลิตผลจำนวน 0.12 ล้านล้านบาท การรับฝากเงิน 0.07 ล้านล้านบาท และการจัดหาสินค้ามาจำหน่าย 0.06 ล้านล้านบาท ตามลำดับ
สหกรณ์นอกภาคการเกษตร มีมูลค่าธุรกิจรวมเท่ากับ 1.55 ล้านล้านบาท โดยมีธุรกิจเงินให้กู้เป็นธุรกิจที่ได้รับการตอบรับมากที่สุดจากสมาชิก 1.11 ล้านล้านบาท รองลงมาได้แก่ธุรกิจการรับฝากเงิน 0.43 ล้านล้านบาท และธุรกิจจัดหาสินค้ามาจำหน่าย 9.82 แสนล้านบาท ตามลำดับ
กลุ่มเกษตรกร มีมูลค่าธุรกิจรวม 13.94 พันล้านบาท ธุรกิจที่มีปริมาณมากที่สุดคือ ธุรกิจการรวบรวมและแปรรูปผลิตผล 10.62 พันล้านบาท รองลงมาได้แก่ ธุรกิจการให้เงินกู้ 1.51 พันล้านบาท
เมื่อหันมามองถึงการดำเนินธุรกิจของภาคสหกรณ์ในภาพรวมพบว่า ธุรกิจที่มีมูลค่าสูงสุดได้แก่ ธุรกิจการให้เงินกู้ รองลงมาธุรกิจการรับฝากเงิน ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผล ธุรกิจการจัดหาสินค้ามาจำหน่าย และธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร ตามลำดับ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ธุรกิจการให้เงินกู้ยืม (สินเชื่อ) มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.51 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.97 จากไตรมาสแรก โดยสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีปริมาณการให้สินเชื่อสูงสุดเท่ากับ 1.11 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 50.23 ของจำนวนเงินให้สินเชื่อทั้งระบบ สหกรณ์ภาคการเกษตรมีจำนวนเท่ากับ 0.40 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18.10 และกลุ่มเกษตรกร 1.51 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.07 ตามลำดับ
ธุรกิจการรับฝากเงิน การรับฝากเงินของภาคสหกรณ์ทั้งระบบมีมูลค่าทั้งสิ้น 0.50 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.62 ของมูลค่าธุรกิจรวมทั้งสิ้น ลดลงจากไตรมาสแรกร้อยละ 10.71 โดยสหกรณ์นอกภาคการเกษตรมีปริมาณสูงสุดเท่ากับ 0.43 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86.00 ของเงินฝากทั้งระบบ สหกรณ์ภาคการเกษตรมียอดเงินรับฝาก 0.07 ล้านล้านบาท ร้อยละ 14.00 และกลุ่มเกษตรกร 0.32 พันล้านบาท ร้อยละ 0.06 ของตามลำดับ
ธุรกิจรวบรวม/แปรรูปผลิตผล มีมูลค่ารวมเท่ากับ 1.38 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.34 จากไตรมาสแรก
ธุรกิจการจัดหาสินค้ามาจำหน่าย มูลค่าสินค้าที่จัดหามาจำหน่ายให้สมาชิกของภาคสหกรณ์ไทยเท่ากับ 7.23 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.22 จากไตรมาสแรก โดยสหกรณ์ภาคการเกษตรมียอดการจำหน่ายสูงสุด 6.10 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 84.37 ของยอดรวมทั้งสิ้น
ธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร มีมูลค่ารวมเท่ากับ 1.58 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 31.60 จากไตรมาสแรก
ผลการดำเนินงานของภาคสหกรณ์ไทย
ปริมาณธุรกิจของภาคสหกรณ์ไทย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2555 มีจำนวนทั้งสิ้น 2.21 ล้านล้านบาท เพิ่มจากไตรมาสแรกร้อยละ 18.18 จากการดำเนินงานมีรายได้รวมเท่ากับ 3.21 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.88 ค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 2.65 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.74 ส่งผลให้มีกำไรสุทธิจำนวน 5.55 หมื่นล้านบาท เท่ากับไตรมาสแรก
สหกรณ์ภาคการเกษตร สามารถสร้างรายได้รวมได้มากที่สุดทั้งสิ้น 2.05 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.59 จากไตรมาสแรก โดยคิดเป็นร้อยละ 63.86 ของรายได้รวมทั้งสิ้น มีค่าใช้จ่ายรวม 2.00 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.17 และมีกำไรสุทธิ 4.80 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.48 จากไตรมาสแรก
สหกรณ์นอกภาคการเกษตร สร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 1.03 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.98 จากไตรมาสแรก โดยคิดเป็นร้อยละ 32.09 ของรายได้รวมทั้งสิ้น มีค่าใช้จ่ายรวม 5.23 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.97 และกำไรสุทธิ 5.06 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.20 จากไตรมาสแรก
กลุ่มเกษตรกร สร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 1.29 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.44 จากไตรมาสแรก โดยคิดเป็นร้อยละ 4.02 ของรายได้รวมทั้งสิ้น มีค่าใช้จ่ายรวม 1.28 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.63 และกำไรสุทธิ 132 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 84.65 จากไตรมาสแรก
จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น ภาคสหกรณ์ไทยมีความสามารถในการบริหารจัดการได้ค่อนข้างดีระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศก็ตาม มีการขยายตัว โดยลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ทั้งสิ้นจำนวน 0.03 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียน และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน สำหรับผลการดำเนินงานพบว่า รายได้ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกจำนวน 0.12 แสนล้านบาท บ่งชี้ให้เห็นว่าสินค้าและบริการของสหกรณ์ยังคงได้รับการตอบรับจากสมาชิกและบุคคลทั่วไปเป็นอย่างดี จึงกล่าวได้ว่าสหกรณ์สามารถดำเนินงานไปได้ด้วยดีเป็นปกติ มีการเติบโตทั้งสินทรัพย์และรายได้
เมื่อมองถึงสภาพคล่องทางการเงินในภาพรวมของภาคสหกรณ์ไทย โดยพิจารณาอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียนเท่ากับ 0.54 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกเท่ากับ 1.57 เท่า พบว่าความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นมีระดับต่ำกว่าไตรมาสแรก แสดงว่าสหกรณ์ มีหนี้สินหมุนเวียนมากกว่าสินทรัพย์หมุนเวียน แต่เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าหนี้สินหมุนเวียน ส่วนใหญ่เป็นเงินรับฝากจากสมาชิกและมีโอกาสน้อยมากที่สมาชิกจะมาถอนเงินพร้อมกันครั้งเดียวเป็นจำนวนมาก สามารถกล่าวได้ว่าสภาพคล่องทางการเงินของภาคสหกรณ์ไทยจึงขึ้นอยู่กับ การบริหารจัดการที่ดีมีความรอบคอบ และไม่ประมาท
ดังนั้น สหกรณ์ต้องไม่ละทิ้งหลักการ อุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ และที่สำคัญต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกและผู้ที่เกี่ยวข้องโดยการนำหลัก "ธรรมมาภิบาล และหลัก "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาปรับใช้ในการดำเนินกิจการของสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
***************************
|